ศิลาจารึกที่พบในเขตที่เป็นราชอาณาจักรปัจจุบัน ทำให้ทราบว่ามีการบันทึกเหตุการณ์เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละยุค ศิลาจารึกเหล่านี้ใช้เป็นหลักฐานชั้นต้นในการศึกษาโบราณคดีและประวัติศาสตร์บนแผ่นดินไทยในอดีต และพบว่ามีศิลาจารึกหลายหลักที่มีเรื่องเกี่ยวกับอภิเษกสถาปนาพระมหากษัตริย์ จึงเป็นหลักฐานยืนยันทำให้เข้าใจว่าในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉพาะในเขตราชอาณาจักรไทย ลาว และกัมพูชาปัจจุบันนั้น แต่เดิมได้แบ่งแยกกันเป็นรัฐหรืออาณาจักรอิสระที่มีพระมหากษัตริย์ของตน และน่าจะมีการประกอบพระราชพิธีอภิเษกผู้เป็นพระมหากษัตริย์มาตั้งแต่พุทธศตววรษที่ ๑๒ เป็นอย่างช้าแล้ว และสืบทอดพระราชพิธีนี้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
ศิลาจารึกที่พบในเขตที่เป็นราชอาณาจักรปัจจุบัน ทำให้ทราบว่ามีการบันทึกเหตุการณ์เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละยุค ศิลาจารึกเหล่านี้ใช้เป็นหลักฐานชั้นต้นในการศึกษาโบราณคดีและประวัติศาสตร์บนแผ่นดินไทยในอดีต และพบว่ามีศิลาจารึกหลายหลักที่มีเรื่องเกี่ยวกับอภิเษกสถาปนาพระมหากษัตริย์ จึงเป็นหลักฐานยืนยันทำให้เข้าใจว่าในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉพาะในเขตราชอาณาจักรไทย ลาว และกัมพูชาปัจจุบันนั้น แต่เดิมได้แบ่งแยกกันเป็นรัฐหรืออาณาจักรอิสระที่มีพระมหากษัตริย์ของตน และน่าจะมีการประกอบพระราชพิธีอภิเษกผู้เป็นพระมหากษัตริย์มาตั้งแต่พุทธศตววรษที่ ๑๒ เป็นอย่างช้าแล้ว และสืบทอดพระราชพิธีนี้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
ทั้งนี้ โดยปรากฏหลักฐานที่เก่าที่สุด คือ ศิลาจารึก ๓ หลัก ได้แก่ จารึกปากน้ำมูล ๑ จารึกปากน้ำมูล ๒ โดยพบที่ฝั่งขวาปากน้ำมูล ตำบลโขงเจียม อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี และจารึกวัดศรีเอม กิ่งอำเภอเขาแสนกวาง จังหวัดขอนแก่น๑ จารึกเหล่านี้ใช้ตัวอักษรปัลลวะ๒ อันเป็นอักษรแบบหนึ่งของอินเดียใต้ ภาษาที่ใช้เป็นภาษาสันกฤตมีอายุอยู่ในพุทธศตวรรษ ๑๒ ข้อความในจารึกทั้ง ๓ หลัก พบว่าเป็นเรื่องเดียวกัน คือ เกี่ยวกับการอภิเษกพระเจ้าจิตรเสนแห่งรัฐหนึ่ง ซึ่งเข้าใจว่าคือรัฐหรืออาณาจักรเจินละตามบันทึกของจีน อาณาเขตของอาณาจักรนี้ไม่ทราบอย่างแน่ชัด ยุคนั้นเมืองพระนครหรืออาณาจักรเขมรโบราณยังไม่ปรากฏ แต่คงเรียกบริเวณประเทศเขมรปัจจุบันว่ากัมพูชา ซึ่งเป็นชื่อของ “กัมพูชา” ในปัจจุบัน อาณาจักรโบราณครั้งนั้นที่สำคัญ คือ อาณาจักรฟูนัน อาณาจักรเจินละ อาณาจักรทวารวดี และอาณาจักรลวปุระ โดยมีความเจริญรุ่งเรืองร่วมสมัยกันบ้างบางยุคและสืบทอดกันต่อมาบ้าง เมื่ออาณาจักรหนึ่งเสื่อมอำนาจไป อาณาจักรเหล่านี้มีพื้นฐานทางวัฒนธรรมเดียวกัน คือ วัฒนธรรมอินเดีย ซึ่งมีรากฐานในด้านต่างๆ เช่น วรรณกรรมและภาษาที่มากับศาสนา ทั้งพระพุทธศาสนาและศาสนาพราหมณ์ ตลอดจนพิธีการและความเชื่อต่างๆ ในรูปแบบที่คล้ายกัน ความในจารึกทั้ง ๓ หลักนี้สรุปได้ว่า
“...(พระเจ้าจิตรเสน) ได้รับการอภิเษกแล้วทรงพระนามว่า พระเจ้าศรีมเหนทรวรมัน...หลังจากที่ชนะประเทศกัมพูแล้ว ได้ทรงสร้างพระศิวลึงค์อันเป็นเสมือนหนึ่งเครื่องหมายแห่งชัยชนะของพระองค์ไว้บนภูเขานี้”
จากข้อความในจารึกนี้ทั้ง ๓ หลัก ในเขตจังหวัดขอนแก่นและอุบลราชธานี ซึ่งมีอายุอยู่ในพุทธศตวรรษที่ ๑๒ แสดงว่าดินแดนในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนบนในยุคนั้นเป็นอิสระและสามารถโจมตีประเทศกัมพูชาได้ชัยชนะ ดังนั้น จึงเป็นเครื่องยืนยันได้ว่าพระราชพิธี “อภิเษก” ที่รัฐหรืออาณาจักรต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประกอบการขึ้นเพื่อแต่งตั้งสถาปนาพระมหากษัตริย์ของตนนั้น ได้มีธรรมเนียมมาจากเมืองพระนครหรือเขมร แต่เป็นพระราชพิธีที่รับมาจากอินเดีย เป็นพิธีกรรมทางศาสนาพราหมณ์ ใช้พราหมณ์เป็นครูในการประกอบพิธีและสืบทอดปฏิบัติกันมาตลอดซึ่งมีหลักฐานสนับสนุนก็คือ
ศิลาจารึกเมืองเสนา ซึ่งพบที่ตำบลเสมา อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา อันเป็นจารึกที่มีอายุใน พ.ศ. ๑๕๑๔ มีข้อความสรุปได้ว่า “...พระเจ้าชัยวรมันที่ ๕ (พ.ศ.๑๕๑๑-๑๕๔๔) พระราชโอรสของพระเจ้าราเชนทรวรมันแห่งจันทรวงศ์นั้น พราหมณ์ผู้เชี่ยวชาญในไตรเภทได้อภิเษกพระองค์ให้สถิตในราชสมบัติ”
ข้อความจากศิลาจารึกหลักนี้เป็นเครื่องยืนยันถึงการสืบทอดพระราชพิธี “อภิเษก” ในพุทธศตวรรษที่ ๑๖ ได้อย่างดีและผู้ประกอบพระราชพิธีคือ พราหมณ์ผู้เชี่ยวชาญในไตรเภทตามความเชื่อจากอินเดียนั่นเอง
ต่อมาในพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ได้มีการประกอบพระราชพิธีที่ตามสุโขทัยตามราชประเพณีโบราณ ดังความในศิลาจารึกวัดศรีชุมหรือจารึกหลักที่ ๒ ที่ว่า
“...พ่อขุนผาเมืองจึงอภิเษกพ่อขุนบางกลางหาวให้เมืองสุโขทัย ให้ทั้งชื่อตนแก่พระสหายเรียกชื่ออินทรบดินทราทิตย์...”
ศิลาจารึกหลักนี้ นักวิชาการส่วนใหญ่ลงความเห็นว่าเป็นการสถาปนาพระมหากษัตริย์องค์แรกของอาณาจักร (รัฐ) สุโขทัยคือ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ แต่ความเห็นในเรื่องนี้คงจะรอหลักฐานและเวลาที่จะสรุปว่าจริงหรือไม่ต่อไป
ในพุทธศตวรรษที่ ๑๙ พบว่าได้มีการประกอบพระราชพิธี “อภิเษก” อีกเช่นกัน ดังความในศิลาจารึกหลักที่ ๓ หลักที่ ๔ และหลักที่ ๕ ซึ่งเป็นจารีกวัดป่ามะม่วง จังหวัดสุโขทัย จารึกขึ้นใน พ.ศ. ๑๘๙๐ ที่กล่าวว่า... “พระยาลือไทราชผู้เป็นลูกยาเลอไทเป็นหลานแก่พระยารามราช เมื่อได้เสวยราชย์ในเมืองศรีสัชชนาลัยสุโขทัยได้ราชาภิเษก อันฝูงท้าวพระยาทั้งหลายอันเป็นมิตรสหาย อันมีในสี่ทิศนี้ แต่งกระยาดงวายของฝากหมากปลามาไหว้อันยัดยัญอภิเษกเป็นท้าวเป็นพระยาจึงขึ้นชื่อศรีสุริยพงศ์มหาธรรมราชาธิราช...” และจากศิลาจารึกหลักที่ ๔ และหลักที่ ๕ นอกจากจะกล่าวถึงการอภิเษกพระยาลือไทราชแล้ว ยังกล่าวถึงเครื่องราชูปโภคอันเป็นสัญลักษณ์แห่งองค์พระมหากษัตริย์อีกด้วยดังความที่ว่า “…นำมกุฎพระขรรค์ชัยศรีและเศวตฉัตร อภิเษกแล้วถวายพระนามว่าพระบาทกัมรเดงอัญ ศรีสุริยพงศ์รามมหาธรรมราชาธิราช...”๓ นี่แสดงว่าเครื่องราชกกุธภัณฑ์ที่สำคัญยิ่งสำหรับพระมหากษัตริย์ในยุคนั้นคือ มกุฎหรือพระมหาพิชัยมงกุฎในปัจจุบัน พระขรรค์ชัยศรีหรือพระแสงขรรค์ชัยศรีในปัจจุบัน และเศวตฉัตร ซึ่งในสมัยต่อมาเช่นครั้งกรุงศรีอยุธยาพบว่า เครื่องราชกกุธภัณฑ์ได้มีเพิ่มขึ้นอีก ๔ สิ่ง ได้แก่ พระสุพรรณบัฎ พระมหาสังวาลสร้อยอ่อน ผ้ารัตกัมพล และฉลองพระบาท๔ ดังจะได้กล่าวถึงต่อไป และพระราชพิธีบรมราชาภิเษกนั้น ในยุคของพระยาเลอไทราชแห่งกรุงสุโขทัย เรียกพระราชพิธีนี้อย่างย่อๆ ว่า “ราชาภิเษก” แต่อย่างไรก็ดี เรายังไม่สามารถหาข้อมูลได้ว่าพระราชพิธีดังกล่าวนี้ แต่เดิมมามีขั้นตอนการประกอบพระราชพิธีอย่างไร ทราบแต่เพียงว่าพราหมณ์เป็นผู้ประกอบพิธีเท่านั้น เรามาทราบรายละเอียดบ้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาจาก “คำให้การชาวกรุงเก่า” และ “ตำราราชาภิเษกครั้งกรุงศรีอยุธยา” ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๖ โดยทรงมีพระราชบัญชาให้เจ้าพระยาเพชรพิชัย เจ้าพระยาสุธรรมมนตรี พระยาราชสงคราม และพระยาอุทัยมนตรี ซึ่งได้เคยรับราชการเป็นขุนนางแต่ครั้งรัชกาลพระเจ้าอุทุมพรช่วยกันเรียบเรียงขึ้น
๑ จารึกในประเทศไทยเล่ม ๑, หอสมุดแห่งชาติศิลปากร, ๒๕๒๙ หน้า ๑๕๕,๑๕๙ และ ๑๖๓
๒ ตัวอักษรปัลลวะเป็นตัวอักษรต้นแบบของอักษรต่างๆ ในภูมิภาคนี้โดยเฉพาะอักษรขอมที่ใช้จารในคัมภีร์ใบลานและสมุดไทยเกี่ยวกับเรื่องราวในพุทธศาสนามาแต่โบราณ แต่การเขียนตัวหนังสือในแต่ละท้องถิ่นได้พัฒนาไปตามความถนัดและรสนิยมของคน ในภาคกลางของไทยจะพัฒนาไปในรูปกลมเพราะเกิดจากการจารลงในใบลานเป็นสำคัญ ส่วนทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือและในกัมพูชาปัจจุบันจะพัฒนาเป็นรูปสี่เหลี่ยมเพราะความถนัดในการสลักลงในแผ่นหิน แต่เมื่อนำมาพิจารณาทั้งสองแบบแล้วจะเห็นจะเห็นเค้าตัวอักษรว่ามาจากรากฐานเดียวกัน คือ อักษรปัลลวะของอินเดียใต้นั่นเอง
๓ จารึกในประเทศไทย เล่ม ๔, “ศิลาจารึก หลักที่ ๔” กรมศิลปากร, ๒๕๒๙ หน้า ๗๒
๔ ลัทธิธรรมเนียมต่างๆ เล่ม ๒, “ตำราราชาภิเษกครั้งกรุงศรีอยุธยา”, คลังวิทยา, ๒๕๑๕ หน้า ๕๔๙ และในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย มีธารพระกร เพิ่มขึ้นอีก